อาหารเปลี่ยนชีวิต… อุบัติการณ์ล่าสุดจากประสบการณ์ตรง


สวัสดีค่ะเพื่อนๆ ที่รักทุกท่าน

มีเรื่องมาอัพเดทและอยากแลกเปลี่ยนกับท่านทั้งหลายด้วยพร้อมกันไปเลยค่ะ

ระหว่างที่ฉันหายหน้าไปจากบล็อกต่างๆ ของตัวเองนั้น นอกจากไปปฏิบัติภาระหน้าที่ของตนแล้ว ระหว่างนั้น ฉันก็ได้มีการค้นพบอะไรๆ ที่เป็นความรู้ใหม่ๆ มากมายค่ะ บางอย่างก็แย้งกับความรับรู้และความเชื่อดั้งเดิมของเราที่มีมาด้วยค่ะ จึงเห็นว่าน่าจะมีประโยชน์หากนำมาเปิดประเด็นและแลกเปลี่ยนในที่สาธารณะ ซึ่งอาจจะได้มีการแตกแขนงความรู้ออกไปอีกก็เป็นได้นะคะ

เรื่องที่จะนำมาแลกเปลี่ยนวันนี้ จะเกี่ยวกับสิ่งใกล้ตัว เรื่องสไตล์การกินอาหารของเราที่เป็นพื้นฐานของเรื่องสุขภาพอนามัยของเราแต่ละคนนั่นเองค่ะ

เพื่อนหลายๆ คนอาจจะรู้สึกว่า ตนนั้นได้ดำเนินชีวิตมาจนถึงปูนนี้แล้ว คิดว่าตนเองได้ตกผลึกกับวิถีที่ตนเองค้นพบและเลือกแล้ว คิดว่าจะยึดแนวนี้ไปเรื่อยๆก็น่าจะสมบูรณ์แบบ อย่างน้อยสำหรับตัวเราเอง… ฉันก็เช่นกันนะ

เช่นที่ฉันเคยสรุปในเรื่องการกินของตัวเอง จากที่เราไม่ได้เป็นโรคประจำตัวอะไร เราสามารถกินได้ทุกอย่างที่ถือว่าเป็นอาหาร…แต่… แต่… จะยึดหลักการกินน้อยกินแต่พออิ่ม ไม่กินมากเกิน ไม่กินอาหารซ้ำๆ ซากๆ ลองกินอาหารแบบใหม่ๆ แปลกๆ ประเภทอาหารฟิวชั่นต่างๆ บ้างเท่าที่โอกาสอำนวย แต่ก็มีกฎของตนเองว่า พยายามกินอาหารแป้ง น้ำตาลอาหารมันและรสจัดให้น้อยที่สุด… เพราะเชื่อว่าอาหารประเภทดังกล่าวจะส่งผลที่ไม่ดีต่อสุขภาพโดยรวมของเรา… อะไรทำนองนี้ค่ะ// (แต่บางโอกาสจะมี “ปล่อยผี” ด้วยนะคะ นั่นหมายถึงการแหกกฎนานๆ ครั้ง)

ฉันก็ดำเนินชีวิตในหลักเกณฑ์ของตัวเองแบบนี้เรื่อยมา…. จนกระทั่ง…

จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ …

########

จนกระทั่ง… เมื่อลูกคนเล็กของฉันได้ปฏิวัติเปลี่ยนแปลงอาหารที่ตนเองกินไปโดยสิ้นเชิง…

“รวง” มีโรคประจำตัว เป็นโรคภูมิแพ้ตัวเองชนิดหนึ่งค่ะ ซึ่งของรวงยังอยู่ในขั้นแรก และเมื่อทราบอาการของโรคแล้วก็ดูแลรักษาตัวจนค่อยๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ยังมักจะหมิ่นเหม่ที่อาการจะกำเริบบ่อยครั้งเมื่อต้องโหมแรงทำงานหนักๆ และเมื่อต้องสมบุกสมบันมากหน่อย เป็นต้น จึงยังต้องไปหาหมอเป็นระยะๆ เพื่อควบคุมอาการ

ด้วยความคิดที่จะหาทางตัดวงจรของโรคประจำตัว ฉันได้เห็นลูกพยายามดำเนินชีวิตที่เป็นแนวสุขภาพ ศึกษาเรื่องอาหารการกิน การพักผ่อน ออกกำลังกาย แบบไหนที่ว่าดีก็ทดลองปฏิบัติอย่างเอาจริงเอาจังมาหมด…

…จนเมื่อประมาณ 2-3 เดือนที่ผ่านมา ฉันก็ได้เห็นลูกเปลี่ยนอาหารมาเป็น การรับประทานผลไม้และผักต่างๆ แทนการทานอาหารในมื้อปกติค่ะ ซึ่งเรียกกันว่า “Raw vegan” คือกิน The Whole Fruits & Vegetables ไม่เอาไป cook ซึ่งเค้าจะสามารถไปหาสูตรการทำอาหารเหล่านี้ได้มากมายในอินเทอร์เน็ต

ฉันได้เห็นลูกเตรียมอาหารสำหรับตัวเองอย่างขะมักเขม้น หอบผลไม้ต่างๆ เข้าบ้านเป็นกอบเป็นกำ ทั้งกล้วย ส้ม แอปเปิ้ล แตงโม มะม่วง ลิ้นจี่ องุ่น ฯลฯ เดี๋ยวทำ Smoothie เดี๋ยวคั้น เดี๋ยวหั่น ปอก ที่สำคัญกินแต่ละมื้อเป็นชามอ่าง แตงโมมื้อละครึ่งลูก กล้วยหอมสุกงอมหรือแช่แข็งใช้ทีละ 5-6 ลูก ผสมเบอร์รี่ เติมน้ำเปล่าหรือบางทีก็ผสมน้ำนมข้าว ปั่นให้เข้ากัน ได้เป็นเหยือกใหญ่ ดื่มอั่ก อั่กจนหมดเกลี้ยง ซึ่งจะใช้เวลารับประทานแต่ละมื้อไม่ต่ำกว่า 20 – 30 นาที กว่าจะหมด

ทั้งมื้อเช้ามื้อกลางวันรวมทั้งสแน็คระหว่างมื้อก็จะมีองค์ประกอบเป็นผลไม้ทั้งหมดเลย จนกระทั่งถึงเวลาประมาณ 4 โมงเย็นของแต่ละวัน รวงมีกำหนดที่จะได้กินอาหาร cook มื้อเดียวของแต่ละวัน ซึ่งแนวนี้เค้าเรียกว่า “Rawtil4” หรือ “กินดิบจนถึงสี่โมงเย็น”

Raw until 4 o’clock นี้กล่าวกันว่า เป็นแนวของการกินที่ปรับมาจาก “Raw”ล้วนๆ เพื่อให้สอดคล้องกับวิถีการดำเนินชีวิตของคนทำงาน ที่อาจยังต้องการกินอาหารแบบปรุงแต่งบ้าง และที่สำคัญในบางพื้นที่ของโลกก็หาผลไม้ได้ยากและแพงกว่าแถบบ้านเรา

อย่างไรก็ตามค่ะ… อาหารมื้อหลังสี่โมงนี้ก็ไม่ธรรมดาค่ะ…

สำหรับมื้อนี้ ฉันได้เห็นลูกกินของที่ประดิษฐ์คิดทำขึ้นอย่างหลากหลาย โดยองค์ประกอบส่วนใหญ่จะเป็นผักใบเขียว ผักสลัด  แป้ง ข้าว ข้าวจ้าว ข้าวเหนียว ข้าวโพด เห็ด มันฝรั่ง ฟักทอง แครอท เป็นผักนึ่งจิ้มซ้อส เป็นซุปผัก กะหรี่ญี่ปุ่นแบบมังสะวิรัติ เส้นอุด้ง บะหมี่ร้อน-เย็น จุ่มซ็อส แตงกวาขูดเป็นเส้นราดน้ำสลัดที่ทำจากมะม่วงสุกผสมน้ำส้ม/น้ำมะนาว ฯลฯ หน้าตาดีดูน่ารับประทานค่ะ เป็นแนว Vegan ทั้งหมด โดยใช้เวลาทำไม่มากเลย และที่น่าสนใจคือ มื้อหลังสี่โมงนี้หนักไปทางข้าว แป้งในปริมาณที่มากอย่างไม่น่าเชื่อ…

(เราเคยเชื่อว่าไม่ควรกินอาหารแป้งมากมันจะทำให้น้ำหนักขึ้นไม่ใช่หรือ? อ่ะ แล้วนี่เกิดไรขึ้นรึ? ทำไมมื้อหลังสี่โมงเย็นรวงกินแป้งเป็นกอบเป็นกำเป็นชามใหญ่ๆ ทุกๆ วัน?!!)

// สรุปคือตั้งแต่มื้อเช้าจนถึงสี่โมงเย็น อยู่ในองค์ประกอบของผลไม้ทั้งหมด มื้อหลังสี่โมงเย็นอยู่องค์ประกอบของแป้งกับผักเป็นหลัก //

######

เพียงช่วงระยะเวลาประมาณ 2-3 เดือนที่ผ่านมา ฉันก็ได้เห็นสิ่งมหัศจรรย์ …

ฉันได้เห็นการเปลี่ยนแปลงในตัวของลูกค่ะ… ฉันเห็นว่า ผลไม้ชามโตๆ ข้าวโถใหญ่ๆ ที่รวงลำเลียงเข้าไปจนพุงกางทุกวันๆ กลับทำให้ตัวเค้า Lean ขึ้นอย่างชัดเจน เห็นหน้าตาเค้าแจ่มใสขึ้น ที่สำคัญอารมณ์ดีขึ้น มีพลังความแข็งแกร่งทนทานกว่าเดิม ผิวพรรณสดใสขึ้น ริ้วรอย (ที่เดิมมักเป็นจ้ำจากผื่นแพ้) เลือนไปมาก อาการจามคัดจมูกเสียงอู้อี้ตอนตื่นเช้าหายไปเลย ระบบขับถ่ายดีสม่ำเสมอ ตอนกลางวันทำงานอย่างมีพลังไม่ง่วงเหงาหาวนอนจนฟุบที่โต๊ะทำงาน และกลางคืนนอนได้หลับสนิทดีขึ้น ไม่ต้องกินยาชนิดใดช่วยอีกเลย …

ไม่ต้องพูดถึงว่า อาการเรียกหาขนมกรุบกรอบ+สะเลอร์ปี ปลาดิบจิ้มซ็อสญี่ปุ่น กุ้งแช่น้ำปลา หมูมะนาว ต้มยำกุ้ง ส้มตำปูปลาร้า ฯลฯที่มักจะได้ยินเป็นเสียงโอดครวญจากสาวน้อยคนนี้เสมอๆ ได้หายไปเป็นปลิดทิ้งเลยจริงๆ !!

######

ฉันแน่ใจค่ะว่า รวงได้ค้นพบทางของเธอแล้ว …

แต่ฉันก็ต้องการอยากจะรู้ว่าอะไรทำให้เธอเปลี่ยนเป็นคนใหม่ไปต่อหน้าต่อตาฉันได้แบบนี้ …ฉันกำลังคลี่คลายความสงสัยของตนเองอยู่อย่างขะมักเขม้น … และจะนำมาถ่ายทอดในบล็อกต่อๆ ไปนะคะ

รับรองว่าคุ้มค่าน่าสนใจที่จะศึกษา (แบบ Action research) ดูจริงๆ เลยละค่ะ

เจอกันบล็อกหน้าค่ะทุกคน ด้วยรักจากใจเช่นเคย ///

This entry was posted in Food and drink, Health and wellness and tagged , , , , . Bookmark the permalink.

2 Responses to อาหารเปลี่ยนชีวิต… อุบัติการณ์ล่าสุดจากประสบการณ์ตรง

  1. ยินดีด้วยครับที่ ทั้งหนูรวงข้าวและคุณสมัยต่างค้นหาวิธีการที่สอดคล้องกับตนเอง ผมก็พยายามดูแลตนเองโดยไม่ให้พึ่งพายา
    ผมยังนิยมข้าวในมื้อเช้า โดยเรียนรู้จากลูกสาว พบว่าข้าวเป็นแป้งโมเลกุลซับซ้อน ร่างกายย่อยเป็นน้ำตาลป้อนให้สมอง ด้วยอัตราสมำ่เสมอ

    • CordiaV says:

      ขอบคุณค่ะ อ.ชูชาติ ตอนนี้ลูกๆ ไปไกลกว่าเรามาก แม่กำลังพยายามหาความรู้ตามลูกๆ ค่ะ พบว่าน่าสนใจมากทีเดียวค่ะ

Leave a reply to Chuchart Nguitragool Cancel reply